รินจานี ชื่อนี้ฉันต้องไป

 ทำคลิปมาฝากกันด้วยค่ะ

“พี่สมควรไป” เป็นประโยคที่น้องคนหนึ่งที่ชอบเดินป่าเหมือนๆ กันเคยบอก เสมือนเป็นการตอกย้ำให้ต้องไป แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นบอกเลยว่าป้อดดด เพราะดูสภาพจากที่อ่านในรีวิวของคนอื่นๆ แล้วก็ดูคลิปดูอะไรต่อมิอะไร ทำไมช่างน่าสะพรึงสำหรับนักเดินป่าปีนเขาลงห้วยที่มีอายุเยอะอย่างป้าคนนี้ได้ขนาดนั้น

โดยเฉพาะสภาพทางขึ้นช่วงสุดท้าย บอกเลยว่าป้าป้อดดดดมากๆ เพราะทางมันช่างหวั่นใจ เป็นหินร่วนเม็ดเล็กๆๆๆ ประหนึ่งกองทรายใหญ่ยักษ์ที่เขาเอาโรยแกล้งนักเดินป่าให้ต้องเพิ่มระดับความอึดให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ ดูจากรูปข้างล่างนี้ดิ โอ้…. แล้วจะยังไง จะไปไหมวัยคุณป้าอย่างอิชั้นนน ก็นึกอยู่นาน เอิ่มมมมม…ก็ไปสิ ไปซะให้หายสงสัย ให้หายอยาก ให้หายข้องใจ ว่า สภาพร่างของตนนั้นยังไหวอยู่หรือป๊าววววว ก็ไปมันแบบป้อดๆ นั่นล่ะ เอาล่ะ เริ่มล่ะนะ

ตอนนั้นป้าบอกเลยว่าใช้เวลาค้นหาทัวร์ที่จะพาไปรินจานีนานมากๆๆๆๆ เซิร์ทหาดูในกูเกิ้ลก็หลายที่มากๆๆ ไล่ดูไปทีละหน้าจนไปถึงหน้าที่สิบกว่าๆ โน่นน่ะ เพราะอะไร ทำไมถึงเปิดยาวไกลควานหาไปถึงหน้าท้ายๆ ซะขนาดนั้น เพราะป้าขี้งก ไง อิอิ อยากได้ทัวร์ราคาถูก ราคาน่าคบหาเป็นเพื่อนรู้ใจ 555 ก็ที่เห็นหน้าแรกๆ ส่วนใหญ่ไปกันแบบ 3 วัน 2 คืน แล้วก็ราคาสูง แบบนี้ป้าไม่สู้ ไม่ใช่แค่ไม่สู้ราคาที่มันสูงซะขนาดนั้นอย่างเดียว แต่ดูเรื่องสภาพเทรคกิ้งด้วย มันก็น่าจะเร่ง น่าจะรีบ แล้วมามองสภาพร่างของตน ป้อแป้ไปตามวัยอย่างนี้ ไม่น่าจะสู้ไหว เดี๋ยวจะพาลม่องเท่งไปซะก่อนวัยอันควร เอ้าาาา ค้นหากันต่อไป เซิร์ทวนไปจ่ะ 5555

เดินป่าคาวาอีเจียน อินโดนีเซีย

ย้อนไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คือ ปี 2016 ได้มีโอกาสไปเดินป่าต่างประเทศเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรก (ก่อนหน้านี้มีเดินป่าแบบเล่นๆ บนเขาเตี้ยๆ กลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย 2015 ที่ Bukit Tabur มาเลเซีย) แต่ครั้งนี้แบบว่าพี่ไม่ได้มาเล่นๆ พี่เดินจริง ณ ที่แห่งนี้ คือ อินโดนีเซียโดยไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ไป เพราะตั้งธงไปเยือนพุทธสถานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเป็นหลักไว้ก่อน นั่นคือ บุโรพุทโธ แห่งเมืองยอกยาการ์ตา (Yogyakata)

แต่เพิ่งมาดูแผนที่ว่าเกาะชวาแห่งนี้มี โบรโม่ (Mount Bromo) และ คาวาอีเจียน (Kawah Ijen) อยู่ด้วยนี่นา จึงมองหาลู่ทางไปโบรโม่เอง ก็ไปแบบรถโดยสารนี่ล่ะ คือ ตอนนั้น ตัด คาวาอีเจียนทิ้ง เพราะดูแล้วหาทางไปเองไม่ได้แน่

ดังนั้นพอชมบุโรพุทโธ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในฝันกันแล้ว ก็มุ่งหน้าไปซื้อตั๋วโดยสารรถไฟที่สถานีรถไฟเมืองยอกยาการ์ตา ที่จะเดินทางวันรุ่งขึ้นไปยังเมืองสุราบายา (Surabaya) แต่ในวันที่ต้องการจะไป เหลือแต่ตั๋วไฮโซชั้นธุรกิจ ก็เลยซื้อไปแบบคนรวย แต่หน้าตาจ๊นจน 5555 พอถึงสถานีรถไฟเมืองสุราบายาก็ว่าจ้างรถสามล้อ เรียกเบจั๊ก (becak) หรือสามล้อถีบรับจ้าง ไปส่งสถานีรถบัส จะได้ต่อรถบัสไปยังโบรโม่  แหม…อยากจะไปแบบพวก แบ็คแพ็คเกอร์ (Backpackers) นี่ทรหดเจงๆ

ก็คุยกับคนขับสามล้อ ซึ่งเขาก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่เขาบอกพาไปส่งได้ ก็พาไปลงข้างถนนที่ไหนไม่รู้ อิฉันก็โวย อ่าว ไหนว่าจะพาไปสถานีรถบัสไง เขาก็พยายามอธิบาย แต่คนอินโดนี่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง พอๆ กับคนไทยอย่างอิฉันนี่ล่ะ 5555 เลยมีคนแถวๆ นั้นเข้ามาช่วย บอกว่าตรงที่เรายืนอยู่นี่ละ เดี๋ยวจะมีรถบัสผ่าน ก็จะได้นั่งต่อไปสถานีรถบัสได้ อ่าว เหรอ เอ้อ อิอิ (ก็กลัวจะโดนหลอกอ่ะนะ) คุณสามีก็เลยล็อกตัวคนขับสามล้อไว้ บอกยูต้องอยู่กับพวกไอที่นี่ ให้รถบัสมาจริงๆ แล้วค่อยไป เขาก็นั่งรถรอไปกับพวกเรา จนรถมาจริงๆ ค่ะ เลยขึ้นรถ แล้วโบ๊กมือบ๊ายบายคนขับสามล้อ พอถึงสถานีรถบัสก็ซื้อตั๋วก็ขึ้นรถแล้ว รถก็วิ่งมาถึงอีกเมืองที่จะต่อไปยังโบรโม่ อันนี้ล่ะโดนหลอก ของจริง แต่เป็นการถูกหลอกที่สวยมาก คือ จบได้สวยเริ่ด ค่ะ จะจบแบบไหน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาต่อจ้า เดี๋ยวแวบไปทำงานก่องงงง 55555

วันพรุ่งนี้ที่ว่าไว้ว่าจะเขียนต่อ ไม่ใช่วันถัดไป แต่เป็นวันถัดๆๆๆๆๆ ไปอีกเยอะ คือ วันที่ 19 เมษายน 2561 จ้า ก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย คือ จบแบบแฮปปี้ เพราะโดนรถบัสเท คือ เขาให้ลงก่อนจะถึงสถานีรถบัสที่จะต่อไปยังโบรโม่ นัยว่ารู้กันกับเจ้าของทัวร์ เลยโดนเทลงตรงหน้าบริษัทขายทัวร์เล็กๆ ซึ่งเขาก็ออกมาเซย์ฮัลโหล ทำหน้าตาแบบว่ามีไมตรีจิตดีมาก ถามโน่นนี่นั่นว่าจะไปไหนแล้วชวนไปนี่ดีกว่า เรามีแพ็กเกจทัวร์ไปทั้งโบรโม ไปทั้งคาวาอีเจียน ราคาเท่านี้เอง วันที่คุณเหลืออยู่ที่นี่ รับรองไปได้ครบ เพียงพอแน่นอน แล้วเราก็จะพาคุณกลับไปส่งที่สถานีรถไฟสุราบายาด้วยนะ

มุยเน่ ทะเลทรายในฝัน

IMG_9255

สำหรับฉัน การเดินทางเหมือนกับได้เปิดสายตาออกไปสู่โลกกว้าง ได้สัมผัสประสบการณ์ที่แปลกและแตกต่างไปจากเดิม ได้พบผู้คนหน้าใหม่ๆในสถานที่ใหม่ๆ ได้สัมผัสวีถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่เหมือนที่เคยได้พบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ฉันจึงบอกกับตัวเองเสมอว่ามันถึงเวลาที่สมควรจะออกไปต่างถิ่น ต่างแดน หรือออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้แล้ว ด้วยวิถีแบบบ้านบ้าน นั่นคือ การเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง หรือรถที่ชาวบ้านเขาใช้กัน

และนั่นคือสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ แม้รู้ว่าตัวเองสามารถเดินทางได้สบายๆง่ายๆ ด้วยเครื่องบิน แต่ส่วนลึกของหัวใจบอกให้ไปด้วยสองเท้า สองล้อ และสี่ล้อที่เหยียบบนผืนดิน ดีกว่าการล่องลอยอยู่กลางอากาศ เปล่าเลย ฉันไม่ได้กลัวการตกเครื่องบิน แต่ฉันอยากสัมผัสวิธีชีวิตผู้คนแบบบ้านบ้าน เดิมเดิม และทำตัวติดดินตามนิสัยของตัวเองมากกว่า การเดินทางด้วยรถทัวร์ รถตู้ หรือแม้แต่รถเครื่อง รถจักรยาน ก็เลยเริ่มต้นขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนามนี้เองค่ะ

ทะเลในฝันของฉัน

 

IMG_1502

ความฝันในการเดินทางท่องเที่ยวของฉัน มันเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม 6 เด็กตัวน้อยๆอย่างฉันได้มีโอกาสเห็นทะเลครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 12 ปี เนื่องจากโรงเรียนได้จัดให้มีการเข้าค่ายทัศนศึกษานอกสถานที่ เป็นการเดินทางไปเปิดหูเปิดตาเป็นครั้งแรก จำความรู้ตื่นเต้นที่ได้เห็นทะล มันช่างกว้างใหญ่ไพศาล น้ำทะเลเป็นสีฟ้า ทรายเนื้อละเอียด ลมพัดแรง การได้ยินเสียงน้ำทะเล เสียงคลื่นซัดฟัง มันให้ความรู้สึกที่ดีงามมากที่สุด ได้ค้างริมทะเล 1 คืน โดยเด็กนักเรียนทุกคนจะพักในวัดเนรัญชราราม อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี

ฉันจำได้ว่าตกกลางคืน มีการละเล่นรอบกองไฟ โดยมีฉากของทะเลในยามค่ำอยู่ไกลๆ ฉันจะต้องรำไทย แต่ครูที่ฝึกรำให้ฉันพากันส่ายหน้า เหนื่อยใจที่จะหัดให้ฉันฟ้อนรำอย่างอ่อนช้อย เพราะนิ้วของฉันแข็งโป๊ก ตัวแข็งทื่อ เหมือนหุ่นยนต์เสียมากกว่า จึงถูกจัดให้รำอยู่หลังสุด ซึ่งฉันก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เพราะรู้ตัวเองดีว่ารำไม่ได้เรื่อง และไม่มีใจรักงานแสดงเอาเสียเลย

บ้านลี้ลับของฉัน

 

DSCN0622

ช่วงวัยเด็กเป็นช่วงวัยที่ฉันมีภาพความทรงจำหลายเหตุการณ์ที่ฉันจดจำได้ไม่ลืมเลือน ทุกคนในบ้านจะมองว่าฉันเป็นเด็กเงียบ จับวางตรงไหนก็จมปุ๊กอยู่ตรงนั้น เลี้ยงก็ง่าย ไม่มีปัญหาซุกซนอะไรมาก พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในบ้านไม่ต้องใส่ใจดูแลอะไรนัก บรรยายมาอย่างนี้รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งใช่ไหม ก็ไม่นะ อาจมีบ้าง ตรงที่ฉันไม่สามารถพูดจาสื่อสารอะไรให้คนรอบข้างเข้าใจว่าบางครั้งฉันก็อยากให้คนสนใจ โดยเฉพาะแม่ จึงได้แต่ร้องไห้แบบไม่มีน้ำตา ร้องไห้แบบแห้งๆ คือ ไม่ได้ถูกมดกัด แมลงต่อย หรือเจ็บป่วยเป็นอะไรหรอก เป็นเพราะอยากเรียกร้องให้แม่หันมามองฉันบ้าง พูดกับฉันบ้าง หยอกล้อฉันเล่นบ้าง แต่กลับไม่มีเลยสักครั้ง ฉันไม่ได้รับการตอบสนองกลับมาเลย

ความรู้สึกของฉันรับรู้อยู่ว่าแม่ยุ่งและวุ่นวายอยู่กับการทำมาหากินตัวเป็นเกลียว ซึ่งสมัยนั้นก็คือ อาชีพทำน้ำตาลมะพร้าว วันๆแม่ก็จะอยู่หน้าเตาเคี่ยวน้ำตาล ไม่มีเวลาหันมาดูฉันเลยแม้แต่น้อย ซึ่งก็ไม่เป็นไรดูเหมือนฉันจะไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไรนัก เมื่อฉันแสดงปฏิกิริยาเรียกร้องความสนใจแล้วแม่ไม่หันกลับมา ฉันก็หมดความพยายามไปเอง คือ จะเงียบและสำรวจสิ่งรอบข้างแทน สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ และทำให้ฉันรู้สึกว่าชีวิตในช่วงวัยเบบี๋ยังมีอะไรที่น่าดู น่าสนใจ

วัยเด็กกับสัมผัสที่ 6


IMG_4538 copy

เคยได้ยินได้ฟังพ่อแม่พูดด้วยความกังวลอยู่เสมอว่าฉันเป็นเด็กเงียบ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยจา ไม่ร่าเริงแจ่มใส ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรออกมา ถูกจับนั่งอยู่ตรงไหนก็นั่งนิ่งๆอยู่ตรงนั้นได้นานแสนนาน นั่งมองคนนั้นคนโน้นคนนี้เดินไปเดินมา หรือทำงานวุ่นวายอยู่ตรงหน้า ซึ่งสมัยนั้นที่บ้านทำน้ำตาลมะพร้าว ในบ้านจึงมีเตาไฟเคี่ยวน้ำตาลที่ก่อเป็นปล่องสี่เหลี่ยมเป็นแถวยาวๆ

พ่อแม่และพี่ๆที่โตจนทำงานช่วยที่บ้านได้แล้วก็วุ่นวายอยู่กับการเคี่ยวน้ำตาล เทน้ำตาลมะพร้าวจากกระบอกไม้ไผ่ใส่กะทะเคี่ยวบนเตาไฟ ฉันก็อยู่ตรงแถวเตาไฟ แต่ดูเหมือนทุกคนจะไม่สนใจฉัน จับฉันนั่งตรงไหนก็ปล่อยไว้ตรงนั้นเรียกได้ว่าพ่อแม่อาจมองว่าฉันเลี้ยงง่าย เพราะไม่ซุกซน ไม่ค่อยคืบคลานไปไหนต่อไหนเหมือนเด็กอื่นๆ เหมือนฉันปราศจากความอยากรู้อยากเห็น

ความทรงจำในวัยเยาว์

16ความทรงจำวัยเด็ก
ฉันมีความทรงจำอยู่ในจิตใต้สำนึกมากมาย และจดจำเป็นภาพของความรู้สึก ไม่ว่าจะรู้สึกดีใจ เสียใจ ตื่นเต้น โกรธ หรืออื่นๆ ล้วนเป็นแรงผลักให้สมองฉันทำงานได้ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก มีภาพความทรงจำอยู่ภาพหนึ่งที่ยังคงติดตา ติดใจ และติดอยู่ในความรู้สึก นั่นคือ ยามเป็นเด็กเล็กตัวน้อยๆที่ไม่สบาย แน่นอนว่าต้องร้องไห้โยเย งอแงอย่างหนัก จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ในบ้านไม้ใต้ถุนเตี้ย มองรอบตัวคือความมืดสลัวของยามค่ำคืน ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่าฉันกลัวตอนกลางคืน กลัวปลายเท้าที่โล่งว่างจะถูกใครจับดึง ซึ่งคำว่าใคร คือ ไม่ใช่คน ฉันรับรู้ได้ถึงความกังวลของคนเป็นแม่ ที่ต้องหาหยูกยามาป้อนให้ ในตอนนั้นจำได้ถึงรสยาที่ฝาดเปรี้ยว แต่ไม่ขม เรียกกันว่ายาเม็ดสีชมพู บอกได้แลยว่าในตัวฉันมีแต่ยาเม็ดสีชมพู ไม่สบายทีไรแม่ก็ละลายยาเม็ดสีชมพูครึ่งเม็ด ใส่ลงในช้อน บดๆให้ละเอียด แล้วเติมน้ำทีละนิด จนยาละลายเป็นเนื้อเดียวกับน้ำ แล้วแม่ก็ป้อนให้ฉันกิน ฉันจำไม่ได้หรอกว่าเป็นเด็กกินยายากหรือกินยาง่าย เพราะความทรงจำในส่วนของยาไม่มี จึงเดาเอาว่าไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องกินยา และไม่ฝังใจเรื่องกินยา จิตใต้สำนึกจึงไม่เก็บเรื่องนี้ไว้ในความทรงจำ

IMG_20151012_035329 copy
รูปถ่ายสมัยเป็นเด็กเล็ก แต่เรื่องที่เล่าย้อนวัยไปมากกว่านี้ นั่นคือ วัยทารก ประมาณ 6-12 เดือน

เรื่องที่กลับอยู่ในความทรงจำอันแสนนานของฉันกลับกลายเป็นเรื่องน่ากลัว ฉันเคยได้ยินผู้ใหญ่ชอบพูดปลอบเด็กว่าขวัญเอยขวัญมา จึงคิดว่าเด็กทุกคนมีขวัญติดตัวมาตั้งแต่เกิด แน่นอนเด็กทุกคนเกิดมาย่อมมีความรู้สึกตะหนกตกใจที่ต้องออกมาสู่โลกภายนอก ที่ไม่ใช่ในท้องอุ่นๆของแม่ที่มีแต่ความอบอุ่นในใจ แต่กลับกลายเป็นความว่างเปล่าของอากาศนอกท้องแม่ มันเย็นๆ โล่งๆ ว่างๆ

กำเนิดท้องฟ้าสีเทา

การถือกำเนิดออกมาสู่โลกภายนอกของฉัน ถือเป็นการเดินทางครั้งแรกบนจิตใต้สำนึกที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอันตื่นตระหนก หวาดกลัว มันเป็นการเดินทางออกจากความมืดอันเงียบงัน ไปสู่ความสว่างอันสับสนและสียงดังน่าเสียขวัญ เพราะมันไม่อบอุ่นคุ้นเคยเหมือนในท้องแม่ ตลอดระยะเวลาของการลืมตาดูโลกของช่วงวัยเบบี๋ ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าเด็กตาดำๆ ตัวดำๆคนนี้จะรับรู้อะไรได้มากไปกว่ากินอยู่หลับนอนอุตุอยู่ในเปลทั้งวัน จะไปจดจำอะไรได้ จะมีก็แค่เสียงร้องไห้โยเยเพราะหิว กลัว เหนื่อย ไม่สบายตัวให้คนรอบข้างได้ยินเท่านั้น

IMG_25581207_093923

แต่ความจริงแล้วฉันจดจำได้ ความทรงจำนี้หยั่งรากลงไปถึงจิตใต้สำนึก มันแสดงออกมาเป็นภาพความรู้สึกสีเทาๆเหมือนท้องฟ้าที่ฝนใกล้จะตก แต่ยังไม่ตกสักที มันเต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจเพราะบอกใครไม่ได้ ก็แน่ล่ะเด็กวัยเบบี๋พูดจาสื่อสารอะไรไม่เป็น เป็นแต่ร้องไห้อย่างเดียว จึงไม่มีใครเขาเชื่อเมื่อบอกเล่าถึงความรู้สึกในยามเป็นเด็กเบบี๋ให้ฟัง ตอนนั้นสมองจดจำเป็นภาพความรู้สึกสีเทาๆ เหมือนจะเลือนลางเหมือนกับภาพแห่งความฝัน แต่จิตใต้สำนึกของฉันมันรู้ว่าไม่ใช่ ความรู้สึกอันยิ่งใหญ่ ที่ซ่อนอยู่ในร่างกระจ้อยร่อยของเด็กวัยแบเบาะ เป็นช่วงวัยที่ลืมตาออกมาดูโลกได้ไม่ถึงขวบ นั่นคือ ช่วงอายุราวๆ 6-7 เดือน มันฟังดูน่าเหลือเชื่อใช่ไหมว่าเด็กตัวแค่นี้ สมองจะไปจดจำแล้วชี้จำเฉพาะเจาะจงช่วงวัยได้อย่างไร